ผู้เขียน หัวข้อ: ทำอย่างไร หลังจากขับรถลุยฝน และ น้ำท่วม  (อ่าน 1791 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Mor

  • Type3
  • ***
  • กระทู้: 384
  • คะแนนพิษสวาท +1/-1
ฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างจะมีผลกระทบกับรถยนต์มากกว่าฤดูอื่น เพราะนอกจากจะขับรถยากแล้วยังทำให้การจราจรติดขัดเข้าขั้นวิกฤติ แถมบางพื้นที่มีน้ำท่วมขังอาจทำให้รถเสียหายได้อีก ฉบับ นี้ขอแนะนำเรื่องของการดูแลรถยนต์หลังจากหมดฤดูฝน เพราะหลายๆ จุดถ้าลงมือทำอย่างเร่งด่วนก็สามารถลดปัญหาและค่าใช้ จ่ายในระยะยาวได้ แต่ต้องให้แน่ใจว่าหมดหน้าฝนแล้วแน่ๆ แล้วค่อยเริ่มลงมือทำ

1. อย่างแรกคือนำรถไปล้างอัดฉีด ทำความสะอาด ภายนอก ภายใน ช่วงล่าง รวมถึงห้องเครื่องด้วย แต่ก่อนล้างสิ่งที่ต้องทำคือ ตรวจสอบดูในห้องเครื่องว่ามีการรั่วซึมของน้ำมันหรือของเหลวตรง ไหนบ้างหรือไม่ และจดไว้ เพราะหลังจากล้างแล้วจะดูไม่ค่อยออก สิ่งสำคัญคือ ถ้าที่ไหนล้างโดยการใช้ปืนฉีดน้ำฉีดไปที่ห้องเครื่องโดยตรงก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะเดี๋ยวนี้จะใช้น้ำยาทำความสะอาดฉีด พ่นเบา ๆ แล้วค่อยใช้แปรงหรือผ้าทำความสะอาด เวลาล้างก็จะใช้ เทใส่กาพ่นสีแล้วพ่นทำความสะอาด จากนั้นก็เป่าแห้ง การล้างอย่างนี้จะไม่ทำให้ชิ้นส่วนในห้องเครื่องเกิดความเสียหาย

2. สำรวจปลั๊กและขั้วต่อต่างๆ อันนี้สำคัญมากเนื่องจากขั้วต่อ ต่างๆ มักเป็นทองเหลือง หรืออะลูมิเนียม เมื่อโดนความชื้นจะทำให้เกิดคราบเกลือ ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้กระแสไฟเดินไม่สะดวกได้ จุดนี้ใช้สเปรย์ทำความสะอาดหน้าคอนแทกต์ที่ใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฉีดล้างทำความสะอาด ตรวจเช็คกล่องฟิวส์ หรือ บริเวณที่คิดว่าจะมีน้ำขังได้ เปิดออกดูและทำความสะอาดไปด้วยเลย

3. ตรวจสอบสภาพยางหุ้มเพลาขับ แร็คพวงมาลัย ลูกหมาก ลูกยางต่างๆ ว่ามีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าเห็นว่ามีรอยขาดหรือปริแตก ก็ควรรีบเปลี่ยน เพราะถ้าปล่อยไว้จนขาดอาจเสียค่าซ่อมจากหลักพัน เป็นหลักหมื่นได้ ถ้าเป็นไปได้ลองสำรวจดูว่า ตั้งแต่ใช้รถมาเคย เปลี่ยนจาระบีเพลาขับบ้างหรือยัง ลองเปลี่ยนดูจะช่วยยืดอายุการใช้ งานไปได้อีกหลายหมื่นกิโล

4. เปลี่ยนพวกของเหลวต่าง ๆ เช่นน้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์ เนื่องจากชิ้นส่วนเหล่านี้ จะอยู่ต่ำต้องเจอกับสภาพอากาศที่หลาก หลายทั้งร้อนทั้งชื้น หรือแม้กระทั่งน้ำท่วมขังนอกจากความร้อนของ อากาศแล้วความร้อนจากพื้นถนนที่สะท้อนขึ้นมาทำให้ของเหลวเหล่า นี้เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ น้ำมันเบรกและน้ำมันคลัตช์ (ในรถเกียร์ธรรมดาควรจะเปลี่ยนทุกปีหลังหน้าฝนเพราะค่าใช้จ่ายถูก ส่วนน้ำมันเกียร์อาจจะไม่ต้องเปลี่ยนทุกปี ขึ้นอยู่กับการใช้งานซึ่งปกติจะ เปลี่ยนที่ 40,000 กิโลเมตร ตามคู่มือรถส่วนใหญ่ หรือเปลี่ยนปีเว้นปีจะดีกว่า เพราะรถที่ใช้ในเมืองต้องจอดติดบนถนนนานๆ น้ำมันเกียร์จะเสื่อมเร็วกว่าปกติ

5. อาจจะมีเสียงหรืออาการแปลกๆ ตามมา โดยเฉพาะกับรถที่ลุยน้ำเป็นประจำเรื่องของ ลูกปืนต่างๆ เช่น รอกแอร์ คอมแอร์ ไดชาร์จ รวมถึงสายพานต่างๆ ที่จะเสียหายตามมา ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จะต้องยอมรับ

เรื่องของรถยังมีอีกมากมายที่จำเป็นต้องสังเกต ดูแล และบำรุง รักษา เพราะเราต้องใช้เป็นประจำทุกวัน ถ้าเราดูแลเอาใจใส่เป็น อย่างดีก็จะไม่มีปัญหาจุกจิกให้ต้องเสียเวลาเสียเงิน แล้ว...วันนี้คุณ ดูแลรถของคุณหรือยัง ?

ขอขอบคุณ : นิตยสาร GM Car magazine