ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อน่ารู้ สำหรับยางรถยนต์  (อ่าน 1987 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Mor

  • Type3
  • ***
  • กระทู้: 384
  • คะแนนพิษสวาท +1/-1
ข้อน่ารู้ สำหรับยางรถยนต์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2013, 06:21:07 AM »
คำถามคำตอบในส่วนต่อไปนี้ จะช่วยให้ท่านมีความเข้าใจถึงการดูแลรักษายางอย่างถูกวิธี อันจะส่งผลให้ท่านได้รับความปลอดภัยในการขับขี่ได้มากขึ้น และทำให้ยางมีอายุการใช้งานที่นานขึ้น คุ้มค่ากับเงินที่ท่านได้จ่ายไป

1. ยางที่ใช้อยู่ควรจะเติมลมกี่ปอนด์ ?
การเติมลมยางให้ได้อัตราที่ถูกต้อง คือสิ่งสำคัญ และจำเป็นที่สุดของการดูแลรักษายาง ยางที่ใช้อยู่ควรสูบลมให้ได้ตามอัตราสูบลมที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนดไว้ โดยปกติแล้วอัตราสูบลมที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิด ที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้นั้น จะระบุไว้ในแผ่นโลหะ หรือสติ๊กเกอร์ที่ติดไว้บริเวณสันประตู หรือเสากลางข้างตัวรถ หรือติดไว้ในช่องเก็บของภายในรถ นอกจากนั้น ยังมีระบุไว้ในหนังสือคู่มือการใช้รถอีกด้วย

แต่หากท่านมิได้ใช้ยางขนาดเดียวกันกับยางที่ติดรถมา ท่านควรขอคำแนะนำเกี่ยวกับอัตราสูบลมยางที่เหมาะสมจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ หรือร้านจำหน่ายยางที่ได้มาตราฐาน

สำหรับยางอะไหล่ ท่านควรสูบลมไว้ให้มากกว่ามาตราฐาน 3-4 ปอนด์ และลดลงให้กลับสู่อัตราปกติ เมื่อนำไปใช้

2. การใช้ลมอ่อนเกินไป จะมีผลอย่างไรต่อยางที่ใช้อยู่ ?
การใช้ยางที่สูบลมไว้ต่ำกว่าอัตราที่เหมาะสมถูกต้อง หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ลมอ่อนเกินไปนั้น นับเป็นศัตรูตัวสำคัญต่ออายุการใช้งานของยางทีเดียว อีกทั้งยังจะส่งผลเสียอย่างมากต่อยางที่ใช้อยู่ กล่าวคือ

ในขณะรถวิ่ง ยางจะเกิดความร้อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมากกว่าที่ควรจะเป็น ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักจะลดน้อยลงกว่ามาตราฐาน และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น

3. ควรตรวจเช็คลมยางเมื่อไร ?
ท่านควรตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนเดินทางในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ กล่าวคือวิ่งมาไม่เกิน 1.5 – 2.0 กิโลเมตร เพราะขณะที่รถวิ่งนั้น ความดันลมในยางจะเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากท่านทำการตรวจเช็คอัตราลมในขณะนั้น ก็จะได้ค่าที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงควรตรวจเช็คอัตราลมในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ หรือประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังการใช้งาน

ท่านไม่ควรใช้วิธีสังเกตด้วยตาว่า ลมยางของท่านอ่อนเกินไปหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยางที่ท่านกำลังใช้อยู่เป็นยางเรเดียยล ท่านควรตรวจเช็คลมโดยให้เกจ์วัดลมที่ได้มาตราฐาน ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากห้างสรรพสินค้า หรือตามร้านจำหน่ายยางที่ได้มาตราฐาน

4. ทำไมถึงต้องมีการสลับยาง
วัตถุประสงค์หลักของการสลับยาง ก็เพื่อให้ยางทุกเส้นมีการสึกที่เท่ากัน ดังนั้นท่านควรศึกษาคู่มือการใช้รถเกี่ยวกับคำแนะนำในการสลับยาง ซึ่งโดยปกติแล้ว ท่านควรสลับยางทุกๆ 9,000 – 13,000 กิโลเมตร หากรถของท่านเป็นรถใหม่ ท่านควรจะสลับยางในทันทีที่ท่านใช้รถครบ 10,000 กิโลเมตรแรก

หากยางเกิดการสึกที่ไม่สม่ำเสมอ ท่านควรรีบปรึกษากับร้านผู้ชำนาญงาน เพื่อตรวจเช็คศูนย์ล้อ ถ่วงล้อ ตลอดจนระบบช่วงล่างโดยทันที

โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ มักจะแนะนำให้เติมลมยางล้อหน้า และล้อหลังต่างกัน ดังนั้นเมื่อสลับยางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ต้องปรับระดับความดันลมของยางล้อหน้า และล้อหลังให้ถูกต้อง

5. ทำไมต้องมีการถ่วงล้อ
หากเกิดการกระจายน้ำหนักไม่ถูกต้องของยาง และกะทะล้อ จะก่อให้เกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นขณะที่รถวิ่ง อันจะมีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยาง ระบบช่วงล่างของรถ ตลอดจนความสะดวกสบายในการขับขี่ การถ่วงล้อจะช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักที่ถูกต้องของยาง และกะทะล้อ ซึ่งการถ่วงล้อก็สามารถกระทำได้ โดยเพิ่มน้ำหนักลงไป ณ จุดใดจุดหนึ่งที่ขอบกะทะล้อ

6. เมื่อไรจึงควรจะถ่วงล้อ
ยางและกะทะล้อควรส่งเข้ารับการบริการถ่วงล้อในทันทีที่ เมื่อมีการเปลี่ยนยางใหม่ เมื่อมีการสลับยาง สลับกะทะล้อ เมื่อนำยางที่ใช้แล้วมาใส่กะทะล้อที่ใช้อยู่ เมื่อยางแตก และได้รับการปะยางเป็นที่เรียบร้อย เมื่อมีการถอดยางออกจากกะทะล้อ หรือใส่ยางกลับเข้ากะทะล้อ เมื่อเกิดการสั่นสะท้านขณะที่รถวิ่ง เมื่อเกิดการสึกไม่สม่ำเสมอ ท่านควรส่งรถเข้ารับบริการถ่วงล้อจากร้านยางที่ได้มาตราฐานเท่านั้น

7. การตั้งศูนย์ล้อคืออะไร
การตั้งศูนย์ล้อ คือการทำให้ส่วนประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบบังคับเลี้ยว ระบบช่วงล่างล้อ และยาง ทำงานสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้รถวิ่งได้ตรง ไม่ดึงไปทางซ้ายหรือขวา ระบบช่วงล่าง และระบบบังคับเลี้ยวของรถนั้น มีชิ้นส่วนต่างๆ มากมาย ที่มีการเคลื่อนไหวขณะรถวิ่ง และย่อมจะมีการสึกหรอเกิดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปจากสเป็คที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อเพื่อให้ได้ค่าตามที่กำหนดไว้ในสเป็คของรถ นอกจากนั้น ศูนย์ล้อยังขึ้นอยู่กับความสูงของตัวรถกับพื้นถนน และการกระจายน้ำหนักลงบนล้อรถด้วย กล่าวคือ เมื่อรถถูกใช้งานนานขึ้น คอยส์สปริง บุช ลูกยางต่างๆก็เริ่มหมดอายุ ความสูง และการกระจายน้ำหนักของรถก็ผิดไปจากมาตราฐานเดิม อันจะส่งผลให้ศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเป็ค เมื่อใดก็ตามที่ศูนย์ล้อไม่ถูกต้องตามสเป็ค ล้อรถกับตัวถัง หรือล้อข้างซ้ายกับล้อข้างขวาก็จะไม่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน อันจะเป็นผลให้รถวิ่งไม่ตรง หรือเกิดอาการแฉลบ หรือพวงมาลัยดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้ยางสึกผิดปกติ

8. ทำไมต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อ
เพราะการที่รถมีศูนย์ล้อที่ไม่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ยางเกิดการสึกที่ผิดปกติแล้ว ยังมีผลต่อระบบควบคุมบังคับทิศทางของรถด้วย ดังนั้น หากรถของท่านที่มีอาการผิดปกติในการควบคุมบังคับทิศทางของรถ หรือท่านสังเกตุเห็นว่ายางที่ใช้อยู่มีลักษณะสึกที่ไม่สม่ำเสมอ หรือผิดปกติ ก็สามารถบ่งชี้ได้ว่าศูนย์ล้อรถของท่านจำเป็นต้องได้รับการตรวจเช็ค และปรับตั้งศูนย์ล้อแล้ว และแม้ท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ท่านจะต้องใช้ในการซื้อยางชุดใหม่ ซ่อมแซมช่วงล่าง และที่สำคัญคืออันตราย อันอาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สิน และชีวิตของท่าน

9. มีคำแนะนำอย่างไร เมื่อต้องการเปลี่ยนยางชุดใหม่
ในการเลือกยางรถยนต์สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ
ประเภทรถยนต์ รถยนต์หนัก รถยนต์เบา
สมรรถนะความเร็วรถ ความเร็วปกติ ความเร็วสูง
สภาพพื้นผิวถนน ถนนเรียบ ถนนขรุขระ ถนนทราย
สภาพภูมิอากาศ ร้อน หนาว ฝนตกชุก
ใช้ยางกับกะทะล้อให้ถูกต้องตามที่กำหนดโดยโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ และกะทะที่ใช้จะต้องไม่บิดเบี้ยว หรือเป็นสนิม
อย่าเลือกใช้ยางที่มีขนาดเล็กกว่ายางที่ติดรถมา ทั้งนี้เพราะยางที่มีขนาดเล็กกว่าย่อมมีประสิทธิภาพในการรับน้ำหนักบรรทุกได้น้อยกว่า (รวมทั้งน้ำหนักตัวรถด้วย) ฉะนั้น ควรใช้ยางให้ถูกตามขนาดที่กำหนดโดยโรงงานผู้ผลิต หรือตามคำแนะนำจากร้านจำหน่ายยางที่ชำนาญงานเท่านั้น

ควรใช้ยางชนิดเดียวกัน ดอกเดียวกันทั้งหมด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการขับขี่อย่างเต็มที่ ท่านควรตระหนักว่า ยางต่างชนิดกัน ย่อมมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน และมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่แตกต่างกันด้วย อนึ่ง หากท่านมีความจำเป็นต้องใช้ยางที่ต่างชนิด หรือดอกยางต่างกัน ก็ควรจะใช้ยางชนิดหรือดอกเดียวกันในเพลาเดียวกัน

หากท่านมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยางต่างขนาดกัน ให้ใช้ยางที่มีซีรีส์เท่ากันในเพลาเดียวกัน และให้ใช้ยางซีรีส์ต่ำกว่าเป็นยางหลัง ส่วนยางซีรีส์สูงกว่าเป็นยางหน้า

เมื่อท่านเปลี่ยนยางใหม่แล้ว ท่านควรขับรถด้วยความระมัดระวังเพื่อให้ชินกับยางชุดใหม่เสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เบรครถ เร่งความเร็วรถ เข้าโค้ง หรือใช้รถขณะฝนตก ทั้งนี้เพราะยางชุดใหม่อาจให้ความรู้สึกที่ผิดไปจากยางชุดเก่าที่ท่านเคยใช้

ข้อควรระวัง เกี่ยวกับความปลอดภัย การถอดหรือใส่ยางเข้ากะทะล้อ ควรกระทำโดยผู้ชำนาญงานเท่านั้น มิฉะนั้น อาจเกิดความเสียหาย และอันตรายขณะถอดใส่ได้

10. จะทำอย่างไรเมื่อรถเกิดอาการสั่นสะท้าน
อาการสั่นสะท้านย่อมแสดงว่า มีสิ่งผิดปกติกับรถที่ใช้อยู่ และควรได้รับการแก้ไขโดยทันที มิฉะนั้นจะส่งผลเสียต่อยางที่ใช้ระบบช่วงล่าง ตลอดจนระบบพวงมาลัย เมื่อเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้น ท่านควรตรวจเช็คการสึกของยาง เพราะลักษณะการสึกจะทำให้ท่านพอทราบถึงสาเหตุของการสั่นสะท้าน และวิธีการป้องกัน

11. นิสัยการขับรถมีผลต่อการสึกของยางหรือไม่
นิสัยการขับรถของแต่ละท่าน จะมีผลต่อการสึกของยางก่อนกำหนด ฉะนั้นเพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของรถ ท่านควรหลีกเลี่ยงนิสัยการขับต่อไปนี้ ออกรถ และหยุดรถอย่างรุนแรง การหักเลี้ยวอย่างรุนแรง การขับรถปีนขอบถนน ขับเบียดฟุตบาท การขับโดยไม่หลบหลุม ก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวาง

Credit By : http://www.goodyear.co.th/ กับ http://www.oknation.net/

Far

  • บุคคลทั่วไป
Re: ข้อน่ารู้ สำหรับยางรถยนต์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2013, 04:11:29 PM »
เรื่องน่ารู้ : ตรวจยางดูล้อ

ยางคือชิ้นส่วนที่สิ้นเปลือง แต่ยางมีความสำคัญอันดับหนึ่งในเรื่องของความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการโดยสาร และทุกวันนี้ยางมีราคาแพง ยางติดมากับรถรุ่นใหม่ๆ ก็มักจะเป็นยางหน้ากว้างเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ ราคาสูงเป็นภาระอย่างมากกับเจ้าของรถ อายุของยางไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของยาง หลายคนต้องทนใช้ยางเดิมๆ (กว้าง-ใหญ่) ยางชุดหนึ่งๆ ใช้กันตามปกติบนถนนดีๆ ก็ไม่ควรจะใช้มากกว่า 50,000 กิโลเมตร การที่จะยืดอายุของยางให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นก็อยู่ที่ผู้ขับต้องหมั่นดูแลบำรุงรักษาและหมั่นสังเกตการสึกหรอของยาง ลมยาง ต้องตรวจวัดอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการออกรถเร็วหลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหันรุนแรง และที่สำคัญต้องตรวจ เช็กมุมล้อ (ศูนย์ล้อ) สม่ำเสมอตามหนังสือคู่มือหรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร

มุมของล้อในรถยนต์มีอยู่ด้วยกันสามมุมคือ มุมโท (โทอิน-โทเอาท์) มุม คาสเตอร์ และมุมแคมเบอร์ มุมโทหรือมุมโทอินโทเอาท์นั้น วัดกันด้วยระยะห่างเป็นความกว้างหรือแคบมีหน่วยเป็นจุดทศนิยมของมิลลิเมตร ถ้าหยิบไม้บรรทัดขึ้นมาดูที่หน่วยวัดที่เป็นเซนติเมตรจะเห็นว่าหนึ่งมิลลิเมตรก็แค่ขีดเดียวของเส้นดินสอ แต่ค่าของมุมโทที่ถูกกำหนดขึ้นมาแต่ละคันแต่ละรุ่นของรถนั้น มีค่าเพียง จุดทศนิยมของมิลลิเมตร ครับ พอมองเห็นแล้วถึงความละเอียดอ่อนของมุมล้อเพียงมุมเดียวที่เรียกว่ามุมโท (Toe)

ในอีกสองมุมคือมุมแคสเตอร์ (Caster) และมุมแคมเบอร์ (Camber) นั้น ใช้ค่าความแตกต่างเป็น องศาและลิปดา มุมทั้งสามจะต้องได้ค่าที่แน่นอนตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ และมุมทั้งสามถูกเรียกกันว่าศูนย์ล้อ และในความเป็นจริงแล้วการหาค่าของมุมล้อว่าผิดพลาดไปจากค่าที่ตั้งไว้นั้น ต้องยึดถือพื้นฐานจากทั้งสี่ล้อแม้ว่ารถยนต์หลายคันจะ (อ้างว่าเป็นแบบคานแข็ง) มุมของล้อมีความสำคัญต่อการขับขี่ ทั้งในเรื่องของความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ ยางสึกหรอ เร็วผิดปกติ เบรกแล้วรถแถไปข้างใดข้างหนึ่ง (แม้จะเพียงนิดหน่อย) ต้องเกร็งข้อมือข้อแขนตลอดเวลาแม้รถจะวิ่งบนทางตรงถนนเรียบ หรือเครียดเกร็งในการควบคุมรถ ทั้งหมดเป็นอาการบ่งบอกเตือนให้คุณต้องนำรถเข้าร้านตรวจเช็กศูนย์ล้อกันแล้วล่ะ การปล่อยให้ยางสึกไปแล้วจึงไปตั้งศูนย์ล้อนั้น พูดได้ว่าสายไปแล้วที่จะยืดอายุของยาง

การถ่วงล้อไม่มีข้อบังคับว่าเมื่อไรเพราะผู้ขับจะสัมผัสได้ด้วยตนเองว่าเมื่อไรต้องถ่วงล้อ (พวงมาลัยสั่นที่ความเร็วใดความเร็วหนึ่ง) กระทะล้อเป็นชิ้นส่วนหนึ่งที่มีราคาสูงมากกว่ายาง โดยเฉพาะราคาของล้อแม็กซ์ล้อใหญ่ล้อโต หลายคนอยากสวยอยากงามโดยเลือกล้อโตๆ มือสองมาใส่ก็ไม่ผิดกติกาอันใดที่จะแต่งรถที่เรารักเราชอบ การเลือก แม็กซ์มือสอง มาใช้ก็ต้องดูให้เป็นถามหาที่มาที่ไปให้ชัดเจน ไม่เจอแม็กซ์ซ่อม แม็กซ์แตกแม็กซ์ร้าวมาก็ถือว่าโชคดี ได้แม็กซ์มาแล้วก็อย่าเสียดายเงินหายางใหม่ๆ มาใส่

คนที่ซื้อรถมือสองมายางคือสิ่งสำคัญที่จะต้องตรวจสอบโดยเริ่มจาก อายุของยาง (วันเดือนปีที่ผลิต) ถ้าเก่ามากก็ต้องเปลี่ยนเพราะยางที่ติดรถมือสองมายากมากที่จะรู้ได้ว่ายางแต่ละเส้นนั้นปะมาแล้วกี่ครั้ง สำหรับผู้ที่ได้รถมือสองมาใหม่ตรวจดูสภาพยาง อายุของยางด้วยตัวเอง แล้วสิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือขับรถเข้าเช็กศูนย์ล้อก่อนที่จะไปทำอย่างอื่นเพราะจะได้ช่างเช็กศูนย์ล้อเป็นผู้ตรวจสอบช่วงล่างทั้งหมดให้เรา

ย้ำกันบ่อย เขียนกันมาก ยางและล้อคือตัวชี้เป็นชี้ตายของคนใช้รถและผู้ร่วมทาง ตรวจยางดูล้อกันบ่อยๆ นอกจากจะช่วยยืดอายุของยางแล้วความปลอดภัยในการขับก็จะมีมากขึ้น