ผู้เขียน หัวข้อ: อาการแบบไหนต้อง ′ตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ′?  (อ่าน 2319 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Far

  • บุคคลทั่วไป
อาการแบบไหนต้อง ′ตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ′?
« เมื่อ: ธันวาคม 31, 2015, 05:37:53 AM »
อาการแบบไหนต้อง ′ตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ′?

การตั้งศูนย์ล้อ คือการทำให้ส่วนประกอบต่างๆ เกี่ยวกับระบบบังคับเลี้ยว ระบบช่วงล่างล้อ และยาง ให้ทำงานสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง จะทำให้รถวิ่งได้ตรง ไม่ดึงไปทางซ้ายหรือขวา

     ปกติแล้วระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวของรถนั้นจะมีชิ้นส่วนต่างๆ มากมายเคลื่อนไหวขณะรถวิ่ง และย่อมสึกหรอ ทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปจากสเปก

     นอกจากนี้ศูนย์ล้อยังขึ้นอยู่กับความสูงของตัวรถกับพื้นถนน และการกระจายน้ำหนักลงบนล้อรถด้วย รวมถึงอายุการใช้งานของรถทำให้คอยล์สปริง บุช หรือลูกยางต่างๆ ก็เริ่มหมดอายุ

     ศูนย์ล้อไม่ถูกต้องตามสเปก สังเกตได้จากพวงมาลัยจะดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง จนทำให้ยางทั้ง 2 ข้างสึกไม่เท่ากัน ยังส่งผลเสียต่อชิ้นส่วนของช่วงล่างที่มีอายุการใช้งานสั้นลงด้วย จึงจำเป็นต้องตั้งศูนย์ล้อเพื่อให้ได้ค่าตามที่กำหนดไว้ในสเปกของรถ

     "มติชน" ยานยนต์ขอนำเสนอการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ เป็นการปรับตั้งมุมต่างๆ ของล้อให้มีค่าใกล้เคียงกับศูนย์มากที่สุด เป็นที่มาของคำว่าตั้งศูนย์ มุมที่จะต้องตั้งมีอยู่ 3 มุม

     มุมแรกเรียกว่า มุมแคมเบอร์ มุมที่มองจากด้านหน้ารถหรือหลังรถแล้วดูว่าล้อแบะเข้าหรือแบะออก ถ้าล้อด้านบนที่ไม่ติดพื้นเอียงเข้ามาหากันเรียกว่ามุมแคมเบอร์เป็นลบ จะเห็นมากในรถโหลดและรถแข่ง จะตั้งมุมล้อทั้งสี่ล้อลบมากๆ เป็นพิเศษ เพื่อบังคับรถได้ง่าย เพื่อให้เกาะถนนเข้าโค้งดี แต่ยางจะกินด้านในเพียงอย่างเดียว โดยมากรถใช้งานทั่วไปจะตั้งค่าเป็น 0 หรืออย่างมากก็ไม่เกิน -2

     มุมที่ 2 คือ มุมโทอิน (Toe-in) และ มุมโทเอาต์ (Toe-out) ถ้ามองจากด้านบนหลังคารถลงไปแล้วล้อด้านหน้าสุดของทั้งสองข้างทำมุมเข้าหากันเราจะเรียกว่าโทอิน (Toe-in) แต่ถ้าด้านหน้าสุดของล้อกางออกจากกัน แล้วด้านหลังสุดของล้อเข้าหากันเราเรียกว่าโทเอาต์ (Toe-out) โดยมากรถใช้งานทั่วไปจะตั้งเป็นกลาง หรือเป็น 0 หรือบวกลบไม่เกิน 1-2

     สุดท้ายคือ มุมแคสเตอร์ (Caster angle) คือมุมการวางตำแหน่งล้อ เมื่อมองจากด้านข้างตัวรถ เข้าไปหาตัวรถ มุมแคสเตอร์จะเป็นมุมของแกนหมุนเลี้ยว เอียงจากแนวดิ่งไปตามแนวยาวของรถ เมื่อแกนหมุนเลี้ยวส่วนบน เอียงไปทางด้านหลังรถ มุมแคสเตอร์จะมีค่าเป็นบวก (Positive) ในทางตรงข้าม ถ้าแกนหมุนเลี้ยวส่วนบนเอียงไปทางด้านหน้ารถ มุมแคสเตอร์จะมีค่าเป็นลบ (Negative)

     ส่วนการถ่วงล้อคือการเพิ่มน้ำหนักให้กับล้อแต่ละล้อให้เกิดความสมดุลมากที่สุด ล้อที่ไม่สมดุลนั้นจะส่งผลให้พวงมาลัยสั่นสะท้านขณะขับ ส่งผลเสียต่ออายุการใช้งานของยางและสมรรถนะในการเกาะถนน ระบบช่วงล่างของรถและโช้กอัพ รวมถึงความนุ่มนวลในการขับขี่

     ดังนั้นการถ่วงล้อจะช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักอย่างถูกต้องของยางและกระทะล้อและจะทำให้ยางเกิดการสึกอย่างสม่ำเสมอและส่งผลต่อสมรรถนะการขับขี่ที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วยถ้าให้ดีควรถ่วงทั้ง 4 ล้อ เพราะความไม่สมดุลในทุกๆ ล้อจะส่งผลต่ออายุการใช้งานของระบบช่วงล่าง โดยเฉพาะลูกปืนล้อ

     ควรถ่วงล้อเมื่อรู้สึกว่าเวลาวิ่งบนทางเรียบแล้วพวงมาลัยสั่น หรือในการถอดเปลี่ยนยางแต่ละครั้งก็ควรตรวจเช็กความสมดุลของล้อ หรือถ้าให้ดีควรเช็กล้อและยางเมื่อผ่านการใช้งานไปประมาณ 40-50% เพราะการสึกหรอของยางอาจไม่สม่ำเสมอกัน ส่งผลต่อการขับขี่ได้

     วิธีถ่วงล้อมี 2 แบบ คือ การถอดกระทะล้อออกมาถ่วงสมดุลทั่วไป กับถ่วงแบบจี้ คือ ไม่ต้องถอดล้อออกจากรถยนต์ เป็นการถ่วงสมดุลกระทะล้อ ยาง จานดิสก์เบรก เพลาขับ ลูกปืนล้อ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง มักจะทำสำหรับรถถ่วงล้อแบบปกติแล้วอาการสั่นยังไม่หาย แต่ปกติการถอดล้อออกมาถ่วงภายนอกก็พอแล้ว

ที่มา : www.sanook.com