ไส้กรองอากาศ (Ari filter)
ไส้กรองอากาศมีหน้าที่สำคัญ คือ ดักฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปในเครื่องยนต์ แต่เมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจทำให้เกิดอาการอุดตัน ส่งผลให้อากาศผ่านเข้าไปในกระบอกสูบได้น้อยลง ทำให้การเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ ปกติเราควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุก 20,000 กิโลเมตร หรือกว่านั้นหากขับขี่รถในบริเวณที่มีฝุ่นมากเป็นประจำ เมื่อไส้กรองอากาศสกปรกจะสามารถสังเกตอาการของรถยนต์ได้ ดังนี้
1. เครื่องยนต์กำลังตก
2. เครื่องยนต์สั่น
3. สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ
4. ควันไอเสียมีสีดำ
โดยทั่วไปปริมาณอากาศที่ใช้ในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์นั้นมี น้ำหนักประมาณ 15 เท่าของน้ำมันเชื้อเพลิงหรือประมาณ 100-200 ลบ.ฟุต ต่อนาที ซึ่งนับว่ามีปริมาณค่อนข้างเยอะทีเดียว หากมีฝุ่นผงสิ่งสกปรกปะปนอยู่ในอากาศ และสิ่งเหล่านี้เข้าไปในห้องเผาไหม้ จะทำให้เกิดการสึกหรอในเครื่องยนต์สูง จากอายุการใช้งาน 200,000 กม. อาจจะลดลงมาเหลือแค่ 50,000 กม. ก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมี
“ไส้กรองอากาศ” เอาไว้กรองหรือกักเก็บ สิ่งเหล่านี้เอาไว้ ไม่ให้เล็ดลอดเข้าไปในห้องเผาไหม้
นอกจากนั้น ไส้กรองยังมีส่วนช่วยลดเสียงดังที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์ลดอากาศเข้าไปอีก ด้วย โดยไส้กรองจะทำหน้าที่เป็นผนัง กั้นเสียงของลมที่ลูกสูบดูดเข้าไปในห้องเผาไหม้ทางท่อไอดีไส้กรองอากาศของรถ ยนต์ ที่นิยมใช้งานส่วนใหญ่ มีอยู่ 2 ชนิด คือ แบบเปียก และแบบแห้ง
ไส้กรองอากาศแบบเปียก
ไส้กรองแบบเปียก หรือ “ไส้กรองแบบน้ำมัน” ใช้น้ำมันเป็นตัวจัดการกับฝุ่นผง ซึ่งนิยมใช้กันอยู่ ในรถรุ่นเก่าอย่างรถเบนซ์ยุค “หลังเต่า” หรือ “หลังคาโค้ง” สมัยทศวรรษที่ 50 หรือในรถโฟล์ค “เต่า” ลักษณะของไส้กรองแบบเปียกจะมีน้ำมันหล่อไว้ภายใน อากาศจะไหลผ่านไปในหม้อกรอง ลงสู่ด้านล่างที่มีน้ำมันขังอยู่ เศษฝุ่นผง ที่หนักกว่าจะวิ่งไปสู่น้ำมันและถูกจับเอาไว้ พร้อมกันนั้นอากาศที่วนกลับขึ้นสู่ด้านบนก็จะพาเอาละอองน้ำมันเป็นฝอยเล็ก ๆ ติดไปด้วย ฝุ่นละอองในอากาศจะเกาะกับฝอยน้ำมันเหล่านั้น เมื่อผ่านตะแกรงโลหะก็จะถูกกรองเอาไว้ ต่อจากนั้นอากาศจะวนกลับลงมาอีกครั้ง เข้าสู่ใจกลางหม้อกรองแล้วเข้าสู่ห้องเผาไหม้