ผู้เขียน หัวข้อ: ปัญหานี้ข้อใจ ขับรถหน้าฝนประหยัดกว่าจริง หรือไม่  (อ่าน 2131 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Far

  • บุคคลทั่วไป
ปัญหานี้ข้อใจ ขับรถหน้าฝนประหยัดกว่าจริง หรือไม่

ในที่สุดบ้านเราก็เข้าถึงหน้าฝนเสียที แม้ว่าปีนี้ข่าวคราวจะออกมาในทางที่ทำให้หลายคนก่อเกิดความกังวลใจว่าเมืองไทย อาจจะแล้งน้ำไปยาวๆ ยันปีหน้า แต่เมื่อพูดถึงการขับรถยนต์แล้วหน้าฝนเป็นฤดูที่อันตรายที่สุดในการขับขี่ และยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังมองว่าหน้าฝนเป็น ฤดูของความสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง

มีคนจำนวนไม่น้อยมองว่าฤดูฝนเป็นเทศกาลของความสิ้นเปลืองน้ำมัน ด้วยความเข้าใจต่างๆนานา ว่า ฝนเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการขับขี่และก่อให้เกิดแรงเสียดทานในระหว่างที่คุณเดินทางด้วยความเร็วมากมาย นี่ไม่นับบรรดาหยาดฝนที่หยดลงมาก่อตัวเป็นน้ำบนพื้นถนน แต่ความจริงแล้วในหน้าฝนรถคุณจะเปลืองกว่าปกติจริงหรือไม่

จริงๆแล้วต้องกล่าวก่อนว่าเรื่องนี้ ยังไม่มีใครลองพิสูจน์การขับขี่จริงๆ หรือทำออกมาเป็นผลการทดลองอย่างจริงจัง และก็ยังเป็นที่ถกเถียงระหว่างความเชื่อของคนสองกลุ่มที่หนึ่งมองว่าอาจจะประหยัดกว่าและบ้างก็ว่าสิ้นเปลืองกว่าในการขับขี่ท่ามกลางสายฝน

ข้อเท็จจริงแรกที่เราปฏิเสธไม่ได้ คงหนีไม่พ้นในฤดูฝนถนนจะเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่ามันมีแรงเสียดทานมากขึ้นในระหว่างการขับขี่เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่อาจจะทำให้รถยนต์ของคุณต้องบริโภคน้ำมันมากขึ้นในการเดินทาง แต่ความจริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คุณคิดก็ได้

น้ำบนถนนแม้จะดูเป็นสิ่งที่ทำให้รถอาจจะต้องบริโภคน้ำมันมากขึ้น ทว่าในแง่ข้อเท็จจริงในยามขับขี่น้ำบนถนนจะกลายเป้นผู้ช่วยสำคัญที่ทำให้รถยนต์คุณประหยัดขึ้น เนื่องจากน้ำที่เคลือบผิวถนนยามฝนตกจะช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างยางของรถคุณ กับผิวสัมผัสบนหน้าถนนได้เป็นอย่างดี

การลดแรงเสียทานดังกล่าว ว่ากันตามหลักฟิสิกส์อย่างง่าย แบบเด็กมัธยมก็ยังเข้าใจได้ คือ คุณใช้แรงน้อยกว่าในการหมุนล้อหนึ่งรอบ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไม เวลาคุณเหยียบคันเร่งแรงๆ บนทางเปียกๆ ล้อรถคุณจะหมุนฟรีทิ้งอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้ามองในแง่ของการประหยัดน้ำมัน แล้วความลื่นบนถนนกลายเป็นประหนึ่งสิ่งที่สวรรค์ประทานสำหรับนักขับประหยัดทั้งกลาย ซึ่งมันช่วยให้การหมุนรอบล้อง่ายกว่า และน่าจะส่งผลให้รถของคุณกินน้ำมันน้อยกว่า... เมื่อยามขับขี่

แต่ความจริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญทางด้านยางรถยนต์ในต่างประเทศกล่าวว่า ยางรถยนต์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายนั้น มีความพยายามในการออกแบบให้มีการเกาถนนมากที่สุด แม้ในยามที่คุณขับรถในยามฝนตก ด้วยการออกแบบหน้ายางให้มีการรีดน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เมื่อยางหมุนรอบแตะพื้นลงไป จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการขับบนพื้นปกติ แต่ว่าในระหว่างกระบวนการรีดน้ำดังกล่าว น้ำจะถูกดีดไปสะสมทางด้านหลัง ซึ่งทำให้มีความคล้ายคลึงกับการที่คุณขับรถขึ้นเนินอยู่บ้าง

“น้ำบนถนน” ว่าเป็นสิ่งที่วิเศษแล้ว ในหน้าฝนแบบนี้ คุณคงสัมผัสได้ว่าเมื่อยามฝนตกอากาศจะมีความชื้นสัมผัสมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็ยังมีส่วนช่วยในการประหยัดน้ำมันด้วยโดยทางอ้อม

ตามปกติแล้วเครื่องยนต์สันดาปภายในจะจุดระเบิดด้วยการอาศัยอากาศเป็นส่วนผสมหนึ่งไม่ว่าทั้งเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล อากาศที่เย็นกว่าย่อมหมายถึงความหนาแน่นของอากาศมากขึ้น ซึ่งอากาศที่เย็นจะมีปริมาตรออกซิเจนที่หนาแน่นกว่าในอากาศ ทำให้เครื่องยนต์สามารถจุดระเบิดในหนึ่งกระบวนการ ได้กำลังที่มากกว่าเดิมเล็กน้อย

อย่างไรก็ดีแม้ว่า อากาศท่ามกลางสายฝนจะเย็นและดูเหมือนจะมีส่วนช่วยในการทำงานของเครื่องยนต์ในเรื่องกำลังการขับขี่ ทว่าในสายฝนที่ตกหนักถึงหนักมาก ปริมาณน้ำฝนที่เยอะจะส่งผลให้ปริมาตรอากาศน้อยลง แม้ว่าอุณหภูมิจะต่ำลงตามที่เรากล่าวมาข้างตน แต่อากาศที่น้อยลงเพราะถูกแทนที่ด้วยน้ำก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย  ซึ่งคุณอาจจะไม่สามารถสังเกตได้จากวัดรอบเครื่องยนต์ตรงหน้าคุณ

และท้ายสุดเรื่องที่มีการถกเถียงมายาวนานว่า “ขับรถหน้าฝนประหยัดหรือไม่” คือสภาพวะฝนที่มีต่อรถในยามขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อฝนเป็นสภาวะอากาศที่เปียกชุ่มอาจจะส่งผลถึงค่าเสียดทานอากาศที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม รวมถึง คุณยังต้องจัดการน้ำฝนด้วยใบปัดน้ำฝนในยามขับขี่ และแน่นอว่า พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้คุณต้องเจอกับการสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

แม้ว่า เรื่องขับรถในหน้าฝนประหยัดกว่าจริงหรือไม่ จะยังไม่สามารถสรุปข้อเท็จจริงได้ แต่ข้อเท็จจริงหนึ่งที่สามารถพอจะบอกกล่าวได้ว่าทำไม คุณถึงรู้สึกประหยัดน้ำมันมากกว่าในหน้าฝน นั่นเพราะว่า เมื่อฝนตกคุณจะขับรถยนต์ช้าลง ใช้ความระมัดระวังมากขึ้น และ การประหยัดน้ำมันส่วนหนึ่ง ก็ขึ้นอยู่กับความเร็วที่คุณใช้ในการเดินทาง