ยางรถยนต์เป็นผลิตภัณฑ์ยางที่เราพบเห็นได้ทั่วไปถูกผลิตขึ้นให้มีสมบัติที่เหมาะสมกับรถยนต์แต่ละประเภทล้อยางรถบรรทุกก็ควรมีสมบัติที่ทนทานและรับน้ำนัก
บรรทุกได้มาก มีการทรงตัวที่ดีซึ่งแตกต่างจากล้อยางของรถยนต์นั่งที่มุ่งแน่นในเรื่องของความนุ่มนวลในการขับขี่ การทรงตัว การยึดเกาะถนนและความทนทาน
เป็นอันดับรองลงมา
แต่เดิมยางรถยนต์ผลิตจากยางธรรมชาติหรือแรกว่ายาง NR (naturalrubber) ปัจจุบันมีการนำยางสังเคราะห์ประเภทยาง SBR
(styrenebutadienerubber) และยาง BR (butadiene rubber) มาผสมด้วยเพื่อปรับปรุงสมบัติของยางธรรมชาติให้ดียิ่งขึ้น บริษัทผลิตยางรถยนต์ต่างแข่ง
ขันกันวิจัยค้นคว้าเพื่อให้ได้ยางที่เหมาะสมกับการใช้งาน โดยปรับปรุงสมบัติเรื่องการทนความร้อนและน้ำมัน การยึดเกาะผิวถนน ความต้านทานการหมุนที่ต่ำลง
ลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน รวมทั้ง ความสามารถในการ “run-flat” ซึ่งถ้าแปลตรงๆจะมีความหมายว่า“รถยนต์ยังคงวิ่งได้แม้ยาง
แบน”กล่าวคือ ความสามารถในการที่ล้อยางทำให้รถยนต์ยังคงวิ่งอยู่ได้ ถึงแม้ว่าลมจะรั่วออกมาจากยางแล้วก็ตาม การผลิตยางที่มีสมบัติ fun - flat นี้ใช้
เทคนิคการเคลือบผิวใต้ดอกยางด้วยวัสดุ “sealant” ที่สามารถอุดรอยรั่วเล็กๆได้หรือเรียกว่า“self-sealing”หรือใช้วิธีเสริมด้วยวัสดุแข็งที่ผนังด้านในของแก้ม
ยางเพื่อพยุงล้อไว้ที่เรียกว่า “self-supportiong” นอกจากนั้นเทคโนโลยีใหม่ที่รวมตัวล้อเข้ากับยางให้เป็นชิ้นเดียวกันหรือ“auxiliary supported run
system” ซึ่งเป็นล้อที่มีรถยนต์ที่มีวงแวนรองรับยางก็มีแนวโน้มที่จะนำมาใช้ผลิตยางrun – flat ในอนาคต
ยางรถยนต์ที่มองดูแล้วเหมือนทำมาจากยางล้วนๆนั้นแท้จริงเป็นวัสดุผสมหรือวัสดุโพสิต (composites) คือมีการพันเส้นใยไนลอน โพลิเอสเทอร์หรือใยเหล็ก
เข้ากับเนื้อยางเพื่อขึ้นโครงเรียกว่าชั้นโครงผ้าใบ ถ้าสังเกตชื่อภาษาอังกฤษของยางธรรมดา (bias ply tire)และยางเรเดียล(radial piy tire)จะเห็นมีคำว่า
“ply” แทรกอยู่ ply คือเส้นใยในชั้นโครงผ้าใบนั้นเอง ยางเรเดียลมีการถักทอเส้นใยดังกล่าวไปในแนวตั้งฉากกับเส้นรอบวงของ ล้อยางเพื่อการรับแรงในแนวเส้น
รอบวง แตกต่างจากยางธรรมดาที่เรียงไขว้กันเป็นมุม 30 – 40 องศา ยางเรเดียลบางรุ่นนิยมใช้แผ่นเหล็กกล้าเป็นแผ่นรองรับเพื่อเสริมความแข็งแรงและช่วยให้
หน้ายางแบนไปกับพื้นถนนอีกด้วย
ลวดลายตามเส้นรอบวงด้านหน้ายางเรียกว่า “ดอกยาง(tread)” มีลักษณะเป็นร่องและคดหยักรูปฟันปลา รอยหยักจะช่วย รีดน้ำ ให้ไหลผ่านล้อไปทางด้าหลัง
ช่วยให้ล้อหมุนไปบนถนนที่เปียกแฉะและยังยึดเกาะถนน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับทิศทางของรถได้ แต่หากไม่มีดอกยางเพื่อยึดเกาะถนนการบังคับทิศทางของ
รถในขณะที่วิ่งไปบนถนนที่เปียกแฉะนั้นทำได้ยากมาก
อย่างไรก็ตามดอกยางจะไม่จำเป็นเลยหากพื้นถนนแห้งสนิทดังเช่นสนามแข่งรถ ล้อรถแข่งใช้ยางชนิดที่ไม่มีดอกยางชนิดที่ไม่มีดอกยางและมีหน้ายางกว้างมาก
พิเศษ ผิวหน้ายางสัมผัสพื้นถนนได้มาก ทำให้เกาะถนนได้ดีกว่ารถธรรมดาทั่วไป แต่หากถนนที่ใช้แข่งเปียกแฉะ รถแข่งก็ต้องเปลี่ยนยางมาเป็นชนิดที่มีดอกยาง
แทน ดอกยางเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรงจึงออกแบบลวดลายให้เหมาะสมกับการใช้งานในสภาพถนนต่างๆ เช่น ล้อยางสำหรับวิ่งบนหิมะจะออกแบบลวด
ลายให้มีร่องลึกอย่างน้อย 25 เปอร์เซนต์เพื่อผิวหน้าของล้อมีช่องว่างที่จะหมุนตีผ่านหิมะไปได้ ล้อยางพิเศษรุ่นหนึ่งสามารถวิ่งบนพื้นที่เปียกในอ่างน้ำหรือ
โคลนได้อย่างสบายเพระมีลวดลายดอกยางเป็นร่องลึกตรงกลางในแนวยาวรอบล้อยางเพื่อเป็นทางให้น้ำจากใต้ล้อไหลพุ่งผ่านออกไปและยังยึดเกาะถนนได้ดี
ดอกยางที่ผ่านถนนมาหลายสายและถูกใช้งานมานานลวดลายจะสึกและลบเลือนแต่ก็ยังสามารถทำลวดลายได้ไหมเรียกว่าการทำ “retread” ร้านขายอะไหล่ยาง
รถยนต์จะนำยางเก่าที่ดอกยางสึกแล้วไปรีไซเคิลด้วยวิธีกันนี้นั่นเอง
ยางรถยนต์มีส่วนที่เรียกว่าแก้มยาง (side wall) ซึ่งแสดงตัวเลขข้อมูลของยางที่ผลิตออกมาแต่ละเส้นว่าเป็นยางสำหรับรถยนต์ประเภทใด บอกความกว้างโดยวัด
ระยะระหว่างแก้มยางทั้ง 2 ข้างค่า “aspect ratio” ที่แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ของความกว้าง ถือว่าเป็นยางที่มีประสิทธิภาพดีนอกจากนั้น ยังมีตัวอักษรแสดง
ประเภทของยางว่าเป็นยางเรเดียลหรือยางธรรมดา ความยาวเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องว่างตรงกลางล้อ ความสามารถในการแบกรับน้ำหนัก ความเร็วสูงสุดที่รถวิ่ง
ได้ และนอกจากยี่ห้อและรุ่นแล้วสำหรับรถโดยสารจะมีข้อมูลความทนทานของดอกยางสัญลักษณ์ของ “traction” คือ ความสามารถในการหยุดรถบนพื้นถนน
คอนกรีตหรือยางมะตอยที่เปียกและอัตราการกระจายความร้อนของยางแสดงไว้ด้วย