ผ้าเบรกนั้นมีประสิทธิภาพ และ ความเข็งอยู่หลายระดับ ซึ่งแบ่งด้วยหลังการง่าย ๆ คือ ยิ่งนิ่มยิ่งสร้างแรงเสียดทานได้ง่าย แต่ไม่ทนความร้อนซึ่งจะทำให้ลื่น
และไหม้ได้ง่ายในขณะที่เบรกบ่อย ๆ หรือ เบรกในขณะที่ความเร็วสูง ส่วนผ้าเบรกที่แข็งก็จะสามารถทนความร้อนได้ดี และ เบรกได้ดีในขณะที่ความเร็วสูง
แต่จะเบรกในช่วงความเร็วต่ำได้ไม่ค่อยดีนัก และจำเป็นต้องอุ่นให้ร้อนก่อน ดังนั้นในการใช้งานควรจะเลิอกเกรดคุณภาพผ้าเบรกให้เหมาะสมกับลักษณะของ
การขับขี่ และ สมรรถนะของรถยนต์ด้วย
เกรดประสิทธิภาพของผ้าเบรก
* เกรด S = Standard เหมาะที่จะใช้กับรถยนต์นั่งทั่ว ๆ ไป ไม่เหมาะที่จะใช้กับรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูง หรือ รถสปอร์ต บริษัทผู้ผลิตรถยนต์นั่งทั่วไปส่วนใหญ่
ได้กำหนดให้ผ้าเบรกเกรดนี้ติดรถ ทั้งนี้ก็เพราะว่า รถยนต์นั่งทั่วไปส่วนใหญ่จะมีการใช้งานในเมืองเป็นหลักซึ่งไม่ได้ใช้ความเร็วมากนัก ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีการ
ขับขี่ออกไปใช้งานนอกเมืองบ้างซึ่งในช่วงนั้นอาจต้องใช้ความเร็วสูงขึ้นกว่าปรกติก็ถือว่าผ้าเบรกในเกรดนี้เพียงพอแล้ว ผ้าเบรกเกรดนี้ไม่ต้องทำการอุ่นผ้าเบรกให้
ร้อนก่อน สามารถใช้งานตามปกติได้เลย นอกจากนี้ยังทำงานได้ดีในช่วงความเร็วต่ำ ถึง ปานกลาง ซึ่งมีอุณหภูมิไม่สูงมากนัก ส่วนข้อเสียของผ้าเบรกเกรดนี้คือใน
ช่วงที่มีอุณหภูมิสูง ๆ บางครั้งอาจทำให้เบรกไม่ค่อยอยู่ หรือ เบรกแล้วเกิดการลื่นไถล รวมทั้งเกิดการไหม้ได้ง่ายเมื่อมีการเบรกบ่อย ๆ หรือ เบรกในช่วงความเร็วสูง
กระทันหัน
* เกรด M = Medium metal เหมาะที่จะใช้กับรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูง ใช้งานได้ดีในช่วงความเร็ว ปานกลาง ถึง ความเร็วสูง ทนความร้อนสูงได้ดีกว่าเกรด S
แต่ยังคงประสิทธิภาพการทำงานในช่วงความเร็วต่ำ ถึง ปานกลางได้ดี เพราะเนื้อผ้าเบรกยังไม่แข็งเกินไปนัก ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ผ้าเบรกเกรด M แทน เกรด S ได้
เนื่องจากผ้าเบรกเกรด M นี้สามารถรองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ และทุกช่วงความเร็ว แต่จะมีปัญหาด้านประสิทธิภาพในการเบรกขณะที่ผ้าเบรกยังเย็นอยู่ช่วงแรก ๆ เท่านั้น
* เกรด R = Racing เป็นผ้าเบรกเกรดพิเศษ เนื้อผ้าจะแข็ง เหมาะสำหรับรถยนต์ที่มีสมรรถณะสูงมาก เช่น พวกรถสปอร์ต หรือ รถแข่งซึ่งเป็นรถที่ใช้ความเร็วสูง ไม่เหมาะ
กับรถยนต์นั่งทั่วไปที่ใช้ความเร็วต่ำเพราะจะทำให้ลื่น ผ้าเบรกเกรดนี้ทนความร้อนได้ดีในขณะที่อุณหภูมิสูงมาก ๆ เช่น ในขณะที่เบรกบ่อย ๆ หรือ ถี่ ๆ ในช่วงที่ใช้ความเร็ว
สูง ซึ่งจะเกิดการไหม้ และ ลื่นได้ยากมาก ส่วนการใช้งานในเมืองหรือความเร็วต่ำจำเป็นต้องมีการอุ่นผ้าเบรกให้ร้อนก่อน และใช้ระยะในการเบรกยาวกว่าผ้าเบรกเกรด
S และ M
หมายเหตุ
โดยปกติทั่ว ๆ ไปแล้วข้างกล่องของผ้าเบรกนั้นจะไม่มีเกรดของผ้าเบรกบอก ต้องอาศัยถามถึงระดับของผ้าเบรกเอาเอง หรือบางทีก็บอกมาเป็นอุณหภูมิที่สามารถทนความร้อนได้
เช่น ผ้าเบรกเกรด S และ M สามารถทนความร้อนได้ดีในช่วงของอุณหภูมิตั้ง 0 - 20 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ส่วนผ้าเบรกเกรด R นั้นส่วนใหญ่จะมีค่าทนความร้อนเริ่มต้นที่
50 - 100 องศาเซลเซียส ซึ่งก็หมายความว่าผ้าเบรกเกรดนี้ไม่เหมาะที่จะใช้กับการใช้งานในช่วงอุณหภูมิต่ำนั่นเอง
สรุปเรื่องเกรดผ้าเบรก
ผ้าเบรกเกรดที่น่าสนใจมากที่สุด ก็คือ เกรด M เพราะมีประสิทธิภาพในการเบรกดีในช่วงความเร็วต่ำใกล้เคียงกับเกรด S ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ในช่วงความเร็วสูงได้ดีอีกด้วย
รวมทั้งราคาก็ไม่แพงมาก
อายุการใช้งานของผ้าเบรก
สำหรับรถยนต์โดยทั่วไปนั้น ผ้าเบรกจะมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยประมาณ 30,000 กม. ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของการขับขี่ และ ปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น สภาพของการจราจร
และ สภาพของถนน เป็นต้น อีกวิธีก็คือสามารถดูได้จากการตรวจเช็คความหน้าของผ้าเบรก กล่าวคือ ถ้าความหนาของผ้าเบรกเหลือประมาณ 2 มม. ไม่รวมแผ่นเหล็กข้างหลัง
ก็สมควรที่จะเปลี่ยนใหม่ได้แล้วเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันนี้ก็จะมีเซ็นเซอร์สำหรับคอยเตือนเวลาผ้าเบรกหมด กล่าวคือ เมื่อใช้ผ้าเบรกจนถึงจุดที่กำหนดไว้แล้วมันก็จะไปตัดที่เซ็นเซอร์ที่อยู่บนผ้าเบรก
ทำให้ผ้าเบรกโชว์ขึ้นมาที่ปน้าปัดท์เป็นการบอกผู้ขับขี่ให้รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนผ้าเบรก
สำหรับรถยนต์บางรุ่นก็จะไม่มีตัวเซ็นเซอร์ที่ว่านี้แต่จะทำเป็นโลหะยื่นออกมาที่ด้านข้างของผ้าเบรก เมื่อผ้าเบรกหมด เจ้าโลหะที่ว่านี้ก็จะไปสีกับจานเบรกทำให้เวลาเบรกแล้วมีเสียงดัง
ขึ้นมาเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรกแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่บอกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรก หรือ ตรวจเช็คผ้าเบรก เช่น เบรกแล้วมีเสียงดัง เบรกแล้วกินซ้าย หรือ ขวา เบรกไม่ค่อยอยู่ เป็นต้น