ผู้เขียน หัวข้อ: ไอ้ตัวแสบ แดนปลาดิบ  (อ่าน 2296 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Mor

  • Type3
  • ***
  • กระทู้: 384
  • คะแนนพิษสวาท +1/-1
ไอ้ตัวแสบ แดนปลาดิบ
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2013, 06:26:21 AM »
หนึ่งในความฝันของผู้ชายเกือบทั้งโลกที่ชอบและรักในความเร็ว คือ สักครั้งหนึ่งกับการได้ควบรถสปอร์ตแรงๆ เท่ๆ บนท้องถนน ชนิดที่ว่าวิ่งผ่านที่ไหน ใครเห็นเป็นต้องหันกลับมามองในความหล่อ เท่ ของรถ วันนี้เราจะขอหยิบรถยนต์สปอร์ตในตำนานจากแดนปลาดิบ ที่ยังมีลมหายใจอยู่บนท้องถนนทั้ง 3 รุ่น มาให้คุณๆ ได้ชมว่า มันเท่ แรง และมีเสน่ห์มากแค่ไหน มันถึงเป็นตำนานยาวนานจนถึงทุกวันนี้
       
       Toyota Supra
        นี่คือสุดยอด Super Car จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีการเดินทางผ่านร้อนหนาวสร้างชื่อมาถึง 32 ปี บนเส้นทางสายนักซิ่งเพียงเอ่ยคำว่า Supra ก็ต้องร้อง อั้ยย่ะ!!! กับความแรง และความสวยงาม ที่ไม่ว่าจะออกมากี่เจเนอเรชัน ก็หล่อไม่มีเสื่อมคลาย
       
        กับบล็อกเครื่องอันทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ 3000 ซีซี ที่มีม้าระดับ 300 กว่าแรง พอฟัดพอเหวี่ยงชนกับ Super car จากซีกโลกตะวันตก จากอดีตคุณปู่ Supra คือเจ้า Toyota 2000GT (ปัจจุบันเป็นคลาสสิกคาร์ที่หายาก และราคาแพงมาก) ซึ่งในปี 1966 มันถูกส่งเข้าแข่งขันรายการ Japanese Grand Prix และ Fuji 24-Hour Race ในปี 1967 หลังจากนั้นมันก็สร้างชื่อเสียงคว้าชัยมากมาย ทั้งยังเคยเป็นรถประกอบภาพยนตร์ James Bond ด้วย

       
       หลังจากนั้น Supra ก็เริ่มเปิดไลน์การผลิตขายอย่างเต็มตัวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึง Generation ที่ 4 นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ Supra ขึ้นสังเวียนชกกับ Super car รุ่นใหญ่อย่างสมศักดิ์ศรี เพราะทาง Toyota ทุ่มเทกับการออกแบบเพื่อให้มันเป็นสุดยอดรถสปอร์ตที่สวยงาม ลงตัวที่สุด ตั้งแต่การออกแบบตัวถังโดยคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์ให้มากที่สุด รวมถึงเครื่องยนต์ที่แรงขึ้น อาทิ เครื่อง 2JZ-GTE (Japan Spec) เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร กำลังอัด 8.5:1 เทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Two way twin turbo แรงดันเทอร์โบ 0.68 บาร์ จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดขนาด 430 ซีซี ทั้ง 6 หัว ระบายความร้อนแบบอินเตอร์คูลเลอร์ ทำให้ได้แรงม้าออกมายันเพดานกฎหมายญี่ปุ่นที่ 280 แรงม้า แต่ให้แรงบิดมากถึง 323 ฟุต/ปอนด์

       
       จวบจนทุกวันนี้ Supra ก็ยังมีการผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยใส่ระบบไฮบริด หรือไฟฟ้า เทคโนโลยีสุดยอดแห่งอนาคต ดีไซน์แบบรถยนต์อวกาศแห่งอนาคต แต่ไม่ว่าจะยังไง ถ้าเอ่ยคำว่า Supra มันคือสุดยอดรถสปอร์ตที่คนทั่วโลกยอมรับและอยากได้ไว้ครอบครอง

       
       Mazda RX-7
        Mazda RX-7 เป็นหนึ่งสายพันธุ์รถ Sport พันธุ์ดุ! ที่มีประวัติมายาวนานมากในวงการรถญี่ปุ่น ด้วยเวลาถึง 24 ปี น่าจะเป็นตัวเลขยืนยันได้ว่า ทำไมมันถึงอยู่บนเส้นทางนักซิ่งได้ยาวนาน ซึ่ง RX-7 นั้นถูกจัดวางขุมกำลังขึ้นใหม่แทนรุ่นพี่อย่าง RX 3 ด้วยเครื่องยนต์โรตารีประเภทโรเตอร์คู่

       
       จากนั้นเครื่องโรเตอรีก็กลับมาสร้างชื่อเสียงโด่งดังอีกครั้งให้กับ Mazda ด้วยเครื่องยนต์รหัส 12 A แรงม้าเพียง 125 แต่เร่งจาก 0-100 ได้ในเวลาเพียง 6.6 วินาที สมัยก่อนนั้นถือว่าสุดยอดมากๆ แล้ว ด้วยน้ำหนักตัวถังที่เบาเพียง 1180 กก. กับดีไซน์ที่มีจุดศูนย์ถ่วงอยู่ตรงกลาง ทำให้การกระจายน้ำหนักเป็น 50/50 ทำให้ RX 7 เป็นรถที่เข้าโค้งได้ตามสั่ง ไม่มีอาการดื้อ หรือถ้าอยากแรงก็เติมโบกันเข้าไปกับเครื่องรหัสฺ B 13ฺ แค่นี้ก็เพียงพอที่มันจะกลายเป็นขวัญใจชาวอเมริกัน ที่ใจรักรถคูเป้ ในตอนนั้น กับยอดขาย 377,878 คัน ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการออกแบบที่ได้ DNA จาก Porsche 928 944 ในสมัยนั้น

       
       จากนั้น RX 7 ก็ถูกพัฒนาให้กลายเป็นสปอร์ตตัวแรงมากกว่าขับหล่อๆ ในเมืองหลวง ด้วยการใส่ช่วงล่าง Dynamic Tracking Suspension System (DTSS) ทำให้ตัวล้อสามารถปรับ Toe-in Toe-Out ได้ตามพื้นสัมผัสที่ล้อแตะถนนได้ระดับหนึ่ง ทำให้ทั้ง 4 ล้อ ตอบสนองกับการหักพวงมาลัยไปพร้อมๆ กัน
       
        เรื่องความแรงก็ไม่น่าจะตามใครกับเครื่องยนต์ 13B S4 S5 พร้อมกับชุด Turbo โดยกำลังอยู่ที่ 189 แรงม้า และ 200 แรงม้าตามลำดับ แม้ว่าตลาดของอเมริกาจะตอบสนองน้อยลงแต่มันก็สามารถทำยอดขายได้ทั่วโลกอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง รวมถึงปัจจุบันนั้น FC3S ยังถือว่าเป็นเจ้าชายนัก Drift ที่ทั่วโลกนิยมใช้อีกด้วย

       
       Nissan Skyline GT-R
       นาม Skyline นั้นเดิมทีมาจากบริษัทรถยนต์ Prince ซึ่งเป็นพื้นฐานของรถ 4 ประตู ก่อนที่บริษัทจะยุบรวมเข้ากับ Nissan-Datsun คำว่า GT-R นั้นย่อมาจาก Gran Turismo Racer ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในสมัยนั้น (1960-1970) นิยมใช้ชื่อตามคำย่อ
       
        ซึ่ง GT-R นับว่าเป็นสายพันธุ์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อสนามแข่งอย่างแท้จริง นับแต่วันที่มันลืมตาดูโลก GT-R ก็เข้าแข่งขันรถในอเมริกา ซึ่งเจ้าS54 2000 GT-B (ก่อนเปลี่ยนเป็น GT-R) ได้เข้ามาเป็นที่ 2 ในการแข่งครั้งแรกในปี 1964 โดยขับเคี่ยวกับ Porsche 904 GTS

       
       ต่อมา GT-R ที่ลืมตาดูโลกอีกครั้ง ในฐานะรถ 4 ประตู PGC10 2000 GT-R สามารถคว้าชัยชนะมาได้ถึง 33 ครั้งติด ภายในปีครึ่งที่มันลงแข่งขัน หลังจากนั้นในปี 1980 Skyline ก็ถูกผลิตขึ้น ซึ่ง Nissan ยังให้มันเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ขณะที่ผู้ผลิตอื่นๆ พยายามเปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
       
        หลังจาก 16 ปีที่ Nissan หยุดผลิตรถ GT-R ไป ใน ปี 1989 Nissan ได้นำ Concept ของรถทั้งสองรุ่นมารวมกันเป็นรุ่นที่ 8 ของ Skyline คือ Skyline GT-R R32 เจ้า GT-R รุ่นใหม่นี้ถือว่ามีสมรรถนะพอฟัดพอเหวี่ยงกับซูเปอร์คาร์ระดับโลกได้ ในราคาที่เอื้อมถึงกันเลย และมันก็กลายเป็นหัวหอกในการแสดงสมรรถนะของรถยนต์ตระกูล Nissan ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นนำมากมายที่หาไม่ได้ตามรถปกติทั่วไป เริ่มตั้งแต่ระบบควบคุมการขับเคลื่อน 4 ล้อ ATTESA-ETS ระบบควบคุมการเลิ้ยว 4 ล้อ Super-Hicas

       
       ต่อมาในปี 2002 Skyline GT-R มาถึงทางแยกซึ่งทาง Nissan ประกาศว่า จะแยกการพัฒนาะหว่าง Skyline กับ GT-R อีกครั้ง ซึ่ง Skyline R34 กลายเป็นตัวสุดท้าย จนกระทั่งปี 2007 Nissan GT-R R35 ได้คลอดออกสู่ตลาดโดยมีสมรรถนะเทียบเคียงได้กับ Super car เลยทีเดียว
       
        ฉายาต่างๆ ของ GT-R
       Godzilla คือ Skyline GT-R R32
       นักฆ่าหน้าหยก ในสนามแข่ง คือ R33
       สัตว์ประหลาดหน้าโหด R34
       นักฆ่า Porsche 911 แห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย คือ GT-R R35