เนื่องจากน้ำมันเบรก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลัง เมื่อเราเหยียบเบรกแรงดันที่เหยียบจะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำมันเบรกเข้าไปในระบบห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ ทำให้ความเร็วของรถช้าลง หรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ ซึ่งน้ำมันเบรกที่ดี นอกจากจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติที่ดีอื่นๆ อีกด้วย
1. เป็นตัวหล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบเบรก ช่วยป้องกันการสึกหรอ
2. ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนที่เป็นโลหะในระบบหรือลูกยางต่างๆ
3. คงสภาพได้นาน แม้ว่าจะมีผลกระทบจากสิ่งแวดตามล้อมธรรมชาติ เช่นความชื้น
4. มีจุดเดือดสูงและไม่ระเหยง่าย ทนต่อแรงดันจากแรงเหยียบอย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
จากคุณสมบัติของน้ำมันเบรกดัง กล่าว จุดเดือดของน้ำมันเบรกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเนื่องจากเวลาเหยียบเบรกที่ความเร็วสูงหรือบรรทุกหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรกและจานเบรก จะสูงมาก ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรกด้วย ถ้าน้ำมันเบรกมีจุดเดือดต่ำก็จะระเหยและกลายเป็นไอ ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัว กลางถ่ายทอดกำลังในระบบเบรกได้ จึงทำให้เบรคไม่อยู่ หรือที่เรียกว่าเบรกแตกนั่นเอง
ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรตรวจเช็คระดับ ของน้ำมันเบรกอยู่เป็นประจำว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งหากน้ำมันเบรกมากเกินขีดสูงสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีน้ำเข้าไปปนเปื้อน แต่ถ้าน้อยเกินขีดต่ำสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการรั่วซึมในระบบเบรก หรืออาจเกิดจากผ้าเบรกสึก ซึ่งทั้ง 2 กรณี จะส่งผลให้ประสิทธิภาพใน การเบรกลดลง ทำให้เกิดอาการเบรกไม่อยู่ได้
นอกจากตรวจระดับน้ำมันเบรกเป็น ประจำแล้ว ยังควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุกๆ 1-2 ปี แม้ว่าจะไม่มีการรั่วหรือลดระดับลงก็ตาม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหากเกิดเหตุกะทันหัน เบรกจะ ยังตอบสนองได้เป็นอย่างดี
อีกข้อควรระวังก็คือ ไม่ควรนำน้ำมันเบรกต่างยี่ห้อ หรือต่างมาตรฐานกันมาใช้งานผสมกัน เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกริยาทางเคมี ซึ่ง เป็นสาเหตุให้คุณสมบัติของน้ำมันเบรกเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อ หรือใช้น้ำมันเบรกที่มาตรฐานสูงขึ้น แนะนำให้ทำการล้างระบบเบรกก่อนทำการเปลี่ยนถ่าย
ที่มาข้อมูลและภาพ toyotabuzz.com